การเลือกไข่มุก

คุณภาพของไข่มุก

การเลือกไข่มุกคุณภาพสามารถ จำแนกได้ 5 ปัจจัยดังนี้:

1.ความเงาของไข่มุก 

–     ความเงาของไข่มุก คือ ปริมาณของแสงที่ไข่มุกสามารถสะท้อนบนไข่มุก เมื่อกระทบกับแสงต่างๆ  การสะท้อนจะเกิดขึ้นบนผิวของไข่มุก ซึ่งสะการสะท้อนเหมือนกระจกเงา

–     ไข่มุกที่มีคุณภาพดี จะสามารถสะท้อนและมีความแวววาว ซึ่งทำให้มีราคาที่สูงขึ้น

 

 

3.รูปร่าง

–     ไข่มุกทรงกลมที่สามารถพบเห็นได้ตามท้องตลาด เป็นไข่มุกที่เกิดจากการใส่นิวเคลียร์ของคน ไข่มุกตามธรรมชาติที่มีรูปทรงแปลก ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติถือเป็นไข่มุกที่หายากกว่าไข่มุกทรงกลม

–     อย่างไรก็ตาม ไข่มุกตามธรรมชาติที่มีรูป วงรี ถือเป็นไข่มุกที่มีความต้องการอย่างมากในบางตลาด  

5.ขนาด

–    ขนาดของไข่มุกจะไม่ส่งผลต่อคุณภาพของไข่มุก ทั้งด้านความเงา พื้นผิว สี แต่ ขนาดของไข่มุกทั้งในธรรมชาติและเลี้ยงจะส่งผลต่อราคาของไข่มุก เนื่องจาก ไข่มุกขนาดใหญ่ มีความยากในการเพาะและหา จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่าไข่มุกขนาดปกติ

–     การวัดขนาดไข่มุก จะใช้หน่วย มิลลิเมตร (มม.) เป็นมาตราฐานสากล ไข่มุกเลี้ยง อาโกยา (มุกญี่ปุ่น) จะมีขนาดตั้งแต่ 3 มม. ถึง 10 มม. ในขณะที่ไข่มุกเลี้ยง South sea มีขนาดตั้งแต่ 8 มม. และสามารถโตได้ถึง 18 มม.

ที่มา:  http://geohounds.com/articles/a-photographic-tour-of-pearl-terms-and-evaluation/

2.ความสมบูรณ์ของผิวมุก

–   การที่ไขุมุกมีรอยตำหนิและรอยเล็กๆบนผิวของมุก เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของไข่มุก

–     ไข่มุกที่ยิ่งมีรอยตำหนิน้อยบนผิวมุก แสดงถึงคุณภาพของไข่มุกและจะมีมูลค่ามากกว่าไข่มุกอื่น

4.สี

–    สีของไข่มุกตามธรรมชาตินั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของหอยมุกที่ทำการเพาะเลี้ยง ไข่มุกที่มีสีแปลก จะเป็นไข่มุกที่มีราคามากกว่าสีธรรดา (สีขาว) สีของไข่มุกสามารถมี ตั้งแต่ สีขาว ดำ ครีม ชมพู เขียว น้ำเงิน เป็นต้น

–      สีขาว และ สีกุหลาบ เป็นหนึ่งในสียอดนิยม ของไข่มุกญี่ปุ่น (อาโกย่า) สี เขียวนกยุงและสีทอง เป็นสีที่หายากในมุกประเภท South Sea 

–     เนื่อจากสีไข่มุกสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทและขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล การเลือกสีไข่มุกควรเลือกสีของไข่มุกที่มีสีกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วไข่มุก

 

คุณภาพของไข่มุก

การเลือกไข่มุกคุณภาพสามารถ จำแนกได้ 5 ปัจจัยดังนี้:

1.ความเงาของไข่มุก

–    ความเงาของไข่มุก คือ ปริมาณของแสงที่ไข่มุกสามารถสะท้อนบนไข่มุก เมื่อกระทบกับแสงต่างๆ  การสะท้อนจะเกิดขึ้นบนผิวของไข่มุก ซึ่งสะการสะท้อนเหมือนกระจกเงา

–    ไข่มุกที่มีคุณภาพดี จะสามารถสะท้อนและมีความแวววาว ซึ่งทำให้มีราคาที่สูงขึ้น

 

2.ความสมบูรณ์ของผิวมุก

–   การที่ไขุมุกมีรอยตำหนิและรอยเล็กๆบนผิวของมุก เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของไข่มุก

–     ไข่มุกที่ยิ่งมีรอยตำหนิน้อยบนผิวมุก แสดงถึงคุณภาพของไข่มุกและจะมีมูลค่ามากกว่าไข่มุกอื่น

 

3.รูปร่าง

–     ไข่มุกทรงกลมที่สามารถพบเห็นได้ตามท้องตลาด เป็นไข่มุกที่เกิดจากการใส่นิวเคลียร์ของคน ไข่มุกตามธรรมชาติที่มีรูปทรงแปลก ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติถือเป็นไข่มุกที่หายากกว่าไข่มุกทรงกลม

–     อย่างไรก็ตาม ไข่มุกตามธรรมชาติที่มีรูป วงรี ถือเป็นไข่มุกที่มีความต้องการอย่างมากในบางตลาด  

 

 

4.สี

–    สีของไข่มุกตามธรรมชาตินั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของหอยมุกที่ทำการเพาะเลี้ยง ไข่มุกที่มีสีแปลก จะเป็นไข่มุกที่มีราคามากกว่าสีธรรดา (สีขาว) สีของไข่มุกสามารถมี ตั้งแต่ สีขาว ดำ ครีม ชมพู เขียว น้ำเงิน เป็นต้น

–      สีขาว และ สีกุหลาบ เป็นหนึ่งในสียอดนิยม ของไข่มุกญี่ปุ่น (อาโกย่า) สี เขียวนกยุงและสีทอง เป็นสีที่หายากในมุกประเภท South Sea 

–     เนื่อจากสีไข่มุกสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทและขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล การเลือกสีไข่มุกควรเลือกสีของไข่มุกที่มีสีกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วไข่มุก

 

5.ขนาด

–    ขนาดของไข่มุกจะไม่ส่งผลต่อคุณภาพของไข่มุก ทั้งด้านความเงา พื้นผิว สี แต่ ขนาดของไข่มุกทั้งในธรรมชาติและเลี้ยงจะส่งผลต่อราคาของไข่มุก 

–    ไข่มุกขนาดใหญ่ มีความยากในการเพาะ จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่าไข่มุกขนาดปกติ

–     การวัดขนาดไข่มุก จะใช้หน่วย มิลลิเมตร (มม.) เป็นมาตราฐานสากล

–    ไข่มุกเลี้ยง อาโกยา (มุกญี่ปุ่น) จะมีขนาดตั้งแต่ 3 มม. ถึง 10 มม. ในขณะที่ไข่มุกเลี้ยง South sea มีขนาดตั้งแต่ 8 มม. และสามารถโตได้ถึง 18 มม.